สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ 8 เรื่องราวน่าสนใจ แฟน ‘ หงส์ ’ตัวจริงต้องรู้
หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ วันที่ 24 พ.ย. ปี ค.ศ. 2016 ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ปีกว่าแล้ว ทุกอย่างต้องมีวันลง แม้ว่าแฟนหงส์แดงทั่วโลกจะต้องเสียดายมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องอำลาวงการลูกหนังไปอยู่ดี สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมหงส์แดง ผู้ยิ่งได้ตัดสินใจแขวนรองเท้าในวัย 36 ปี เนื่องจากสภาพร่างกายที่เต็มที่แล้วกับอาชีพนี้ และในวันนี้สำหรับแฟน ลิเวอร์พูล ชาวไทย เราจะมาเอาใจทุกท่านด้วยการรื้อตำนานของสุภาพบุรุษนักเตะ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กลับมาอีกครั้ง ใน 8 สิ่งเกี่ยวกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แฟน ‘ หงส์ ’ตัวจริงต้องรู้
1. ก้าวแรกในถิ่น แอนฟิลด์
เมื่อทุกอย่างได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้าย เราจะกลับมาเริ่มทำความรู้จักกับยอดนักเตะ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อีกครั้ง หลายคนอาจจะจำไม่ได้แล้วว่า ก้าวแรกในถิ่น แอนฟิลด์ ของเขา คือเมื่อใด และพบกับทีมไหน
สตีวี่จี ได้ลงแตะสนามครั้งแรกยังถิ่น แอนฟิลด์ ในเกมชุดใหญ่ เขาเป็นสำรองและได้ทำการเปลี่ยนตัวเข้าไปแทนที่ เวการ์ด เฮ็กเกม เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 หรือ 20 ปีที่แล้ว ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์นโรเวอร์ส นั่นถือว่าเป็นบรรทัดแรกของการขีดเขีนบันทึกแห่งประวัติศาสตร์ ตำนานแห่งถิ่นหงส์แดง สตีเว่น เจอร์ราร์ด
หลังจากนั้น 2 ปีต่อมากในยุคของ กุนซือ เชราร์ด อุลลิเย่ร์ สตีวี่จีเริ่มแสดงความสามารถอย่างชัดเจนในวัย 20 ปีเต็ม และได้กลายเป็นกำลังหลัก โดยจับคู่กับ เจมี่ เร้ดแนมป์ ทำให้ ลิเวอร์พูล มีขุมกำลังรบอันมหาศาล แต่ว่าในปีนั่นเองเขาก็เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบเร้าเป็นระยะ
2. 4 ถ้วย ในฤดูกาล 2000-2001
หลังจากที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด หลุดพ้นจากอาการบาดเจ็บได้สำเร็จ ทุกอย่างกลับมาเข้าที่และเขาสามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง โดยสวมเสื้อหมายเลข 11 เขาโชว์การเล่นที่เหนือชั้นจนไม่มีผู้เล่นไหนก้าวตามได้ทัน ในตอนนั้นเขาได้รับรางวัล ดาวรุ่งยอดเยี่ยม และช่วยให้ทีม ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ไปถึง 4 รายการ ยูฟ่า คัพ , เอฟเอ คัพ , ลีก คัพ และ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
3. ปี 2003 จุดเปลี่ยนในทีม ลิเวอร์พูล
ในที่สุดก็มาถึงเวลา แม้ว่าตอนนี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด จะมีอายุเพียง 25 ปี แต่ว่าไม่ใครที่มีอิทธิพลต่อทีมมากเท่าเขาอีกแล้ว ทำให้บรรดาสต๊าฟโค้ชตัดดสินใจให้เขาเป็นกัปตันทีม แทน ซามี่ ฮูเปีย กองหลังชาวฟินแลนด์ และนี่คือความคิดที่ถูกต้อง เขาก้าวมารับตำแหน่งได้อย่างสง่ามาก
คุณอาจสนใจบทความต่อไปนี้ : 10 เว็บแทงบอลออนไลน์ ยอดนิยม 2017
การบัญชาเกมของเขาสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เป็นสมาธิ เป็นศูนย์จิตใจของทีมทั้งใน และนอกเวลาการแข่งขัน มีนิสัยทีเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้จริง เมื่อเขาได้ครองบอลทุกอย่างเหมือนว่าสามารถควบคุมได้ และไม่มีอะไรที่เพื่อนร่วมทีมต้องกังวล ในฤดูกาล 2003 – 2004 นอกจากเขาจะสามารถแสดงความผู้นำออกมาได้อย่างชัดเจน ขายังแสดงถึงสปิริตของนักกีฬาดีเด่นในด้านความสะอาด เพราะว่าในฤดูกาลนี้เขาได้รับใบเหลืองเป็นเพียงแค่ 2 ใบ ทั้งที่เขาต้องคอยตัดเกมอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำได้ดีว่าทำไมแฟนบอล ลิเวอร์พูล ทุกคนทั่วโลกถึงยกให้เขาเป็นยอดนักเตะที่รักมากที่สุดตลอดกาล
4. เจอร์ราร์ด สร้างความหวัง และปาฏิหาริย์ใน ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 2004 – 2005
หลังจากที่ ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก มาได้ 4 สมัย โดยครั้งสุดท้ายได้มาในปี 1983–84 หลังจากนั้นตลอด 21 ปี ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยได้แชมป์รายการนี้อีกเลย และในที่สุดโอกาสก็มาถึงอีกครั้งในปี ฤดูกาล 2004 – 2005 แต่ศึกครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจินตนาการ เมื่อต้องพบกับปิศาจแห่งอิตาลี เอซีมิลาน ที่ สนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม ตุรกี
แมตซ์นักเตะ ลิเวอร์พูล ทุกคนต่างจะหยุดสถิติ 21 ปีที่พวกเขาพลาดมาตลอด ทำให้เกิดความกดดันอย่างมาก ส่งผลให้ 45 นาทีแรกกลายเป็นที่สุดแห่งความสิ้นหวังเมื่อ เอซีมิลาน ขึ้นนำ 3 – 0 ในตอนนั้นไม่มีทีมไหนในโลกที่มั่นใจว่าจะสามารถยิง 3 ประตูจาก เอซีมิลาน ได้ในเวลา 45 นาที โดยเฉพาะเมื่อถูกนำถึง 3 – 0 แต่ที่สุดแล้วผู้จุดคบแสงก็วิ่งมาถึง เมื่อ เจอร์ราร์ด ตีไข่แตกได้สำเร็จ เขาเรียกกำลังใจจากเพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลให้กลับมาศรัทธา และเชื่อมั่นได้อีกครั้ง หลังจากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และซาบี อลอนโซ่ ก็พร้อมใจกันยิงได้อีกคนละ 1 ลูก ส่งผลให้จบสกอร์ 90 นาที 3 – 3 และต้องทำการยิงลูกโทษเพื่อตัดสิน ในที่สุดความมั่นที่ เจอร์ราร์ด เป็นผู้ก่อกำเนิดก้ส่งผลให้เพื่อนร่วมทีมทั้งหมดสังหารจุดโทษ และเอาถ้วยแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้สำเร็จ นั่นนับเป็นถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ของ เจอร์ราร์ด และเป็นถ้วยที่ 5 ของสโมสร
5. 2 ประตูแห่งกำเนิดความหวังของ เจอร์ราร์ด
ประตูแรกนั้นเราได้บอกไปแล้วในข้อบน นั่นคือนัดที่เจอกับ เอซี มิลาน กัปตัน เจอร์ราร์ด ขึ้นโขกเพื่อสร้างแสงแห่งความหวังจากระยะ 12 หลา กลายเป็นประตูตีไข่แตก หลังจากที่ถูกนำ 3 – 0 และทำให้จบลงที่ 3 – 3 โดยพวกเขาเอาชนะจุดโทษมาได้ทำให้ได้แชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
ส่วนประตูที่สองหลายคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลตัวจริงคงรู้แน่นอนว่าคือแมตซ์ไหน ในศึก เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หลังจากที่ถูกนำ 3 – 2 สาวกขุนค้อนทุกค้อนเริ่มคิดไปถึงถ้วย เอฟเอ คัพ แต่ความฝันทั้งหมดต้องถูกดับด้วยลูกยิงที่เร็วถึง 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง จากระยะ 35 หลา เป็นการยิงไกลที่สวยงาม ดับฝัน และเสียงของแฟนบอล เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ให้เงียบกริบ ทำให้จบ 90 นาทีด้วยสกอร์ 3 – 3 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะเอาชนะไปในจุดโทษ และได้แชมป์ไปในที่สุด
6. สิ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของ สตีวี่จี
ทุกอย่างย่อมมีขึ้นมีลง ลิเวอร์พูล เองก็เช่นกัน ในช่วงปี 2011 ทีมไม่ได้เป้าอย่างที่หวัง นักเตะหลายคนเตรียมตัวที่จะย้ายออกไป และหนึ่งในนั้นคือ เฟร์นานโด ตอร์เรส เพื่อนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด การประสานการเล่นของเขาทั้งสองคนราวกับเวทย์มนตร์ มันน่าอัศจรรย์มาก จนทำให้เกิดความผูกพัน ก่อนวันที่ 31 มกราคม 2011 ซึ่งเป็นวันที่ ตอร์เรส ได้ทำการเปลี่ยนถิ่นอาศัยไปซบไหล่ สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี สตีเว่น เจอร์ราร์ด ได้เข้ามาพูดมากับ ตอร์เรส ถึงการตัดสินใจย้ายทีม
เจอร์ราร์ด กล่าวว่า “ไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดแต่เรื่องของตัวเองก็พอ ว่าต้องการอะไรมากที่สุด” ตอร์เรส ออกมายอมรับว่านั่นคือช่วงที่เขาลำบากใจมาก เพราะว่าในอาชีพค้าแข้งที่ผ่านมาทั้งหมด เจอร์ราร์ด คือเพื่อนร่วมทีมที่ดีที่สุด และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างมาก และเชื่อว่าตัว เจอร์ราร์ด ก็คิดแบบเดียวกัน
7. การพลาดแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด ที่น่าเสียดายที่สุด
หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ต้องเสีย ตอร์เรส ไปให้กับเชลซี พวกเขาก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก จนการมาถึงของหลุยส์ ซัวเรส และแดเนียล สเตอร์ริจด์ ในฤดูกาล 2013 – 2014 หงส์แดงเริ่มสยายปีกอีกครั้ง เมื่อพวกเขาสองคนทำประตูรวมกันไปถึง 52 ประตู และมีสตีเว่น เจอร์ราร์ด หอคอยบัญชาการจากแดนกลาง ยิงไป 13 ประตู ในปีนี้พวกเขาน่าจะได้แชมป์เกือบ 100 % แล้ว แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นภาพยนตร์หักมุมแนวตลกร้ายเมื่อ 2 นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูล ต้องพ่ายคาบ้านให้กับ เชลซี ทีมที่เป็นสโมสรใหม่ของ ตอร์เรส 2 – 0 และบุกไปนำ คริสตัน พาเลซ 3 – 0 แต่กลับมาโดนตีเสมอท้ายเกม 3 ลูกรวดอย่างไม่น่าให้อภัย ส่งผลให้พวกเขาพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปอย่างน่าเสียดายมากที่สุด
8. จุดแยกของ “หงส์แดง” กับ สตีวี่จี
เมื่อเข้าสู่ช่วยอายุ 35 ปี ความสามารถของ เจอร์ราร์ด ก็ถูกบั่นทอนไปตามอายุ เขาได้ตัดสินใจย้านไปยัง “แอลเอ แกแล็กซี่” สโมสรคลับ อเมริกา ในวันที่ 7 มกราคม ปี 2015 ด้วยระยะสัญญา 18 เดือน ก่อนจะประกาศยุติอาชีพของตัวเอง วันที่ 24 พ.ย. ปี 2016 ในวัย 36 ปี
สตีเว่น เจอร์ราร์ด
ชายผู้นี้คือ ตำนานแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ที่จะไม่มีใครมาทดแทน
ชายผู้นี้คือ ต้นแบบแห่งสุภาพบุรุษนักฟุตบอล ที่คนทั้งโลกจดจำ
ชายผู้นี้คือ ชื่อนี้ จะถูกจารึกในหอเกรียติยศของ สโมสรลิเวอร์พูล ไปตลอดกาล